“สงครามส่งด่วน” ซีรีส์ Netflix จาก GDH ถอดรหัสชีวิตจริงยูนิคอร์นไทยหมื่นล้าน!
Netflix เตรียมส่งซีรีส์ไทยเรื่องใหม่แกะกล่องที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง กับ “สงครามส่งด่วน” (Mad Unicorn) ผลงานการสร้างสรรค์จากทีมงานคุณภาพ GDH ที่หยิบยกเรื่องราวชีวิตจริงสุดเข้มข้นของ แฟลช เอ็กซ์เพรส (Flash Express) สตาร์ทอัปยูนิคอร์นหมื่นล้านตัวแรกของไทย และ คุณคมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้งและเจ้าของเรื่องราว มาเป็นแรงบันดาลใจหลักในการสร้างสรรค์ซีรีส์ดราม่าธุรกิจสุดเชือดเฉือน
แถมยังได้รับเชิญไปเป็นพ่อค้าขายข้าวแกง
เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ และทีมงานคุณภาพ
“สงครามส่งด่วน” การันตีความเข้มข้นด้วยฝีมือการกำกับของ ไก่-ณฐพล บุญประกอบ ผู้กำกับมากความสามารถที่เคยสร้างความประทับใจมาแล้วจากภาพยนตร์สารคดีสร้างชื่ออย่าง “2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว” และ “เอหิปัสสิโก” ซีรีส์เรื่องนี้ผ่านกระบวนการพัฒนาอย่างยาวนาน โดยใช้เวลาเขียนบทถึง 2 ปี และใช้เวลาถ่ายทำนานกว่า 4 ปีเต็ม เพื่อให้ได้ผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งในแง่ของเนื้อหาที่ผสมผสานดราม่าชีวิต การชิงไหวชิงพริบทางธุรกิจ และพลังใจในการต่อสู้
จากเรื่องจริง สู่เรื่องราวบนจอ
ซีรีส์ “สงครามส่งด่วน” ดัดแปลงส่วนหนึ่งมาจากชีวิตจริงในสมรภูมิธุรกิจสตาร์ทอัป โดยเล่าเรื่องราวของ “สันติ” (นำแสดงโดย ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) เด็กหนุ่มฐานะยากจนจากดอยวาวี ผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและก้าวขึ้นเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ เขาเริ่มต้นธุรกิจขนส่งพัสดุจากความตั้งใจที่จะทลายความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำที่เขาพบเห็นในวงการ
ทว่าเส้นทางสู่การเป็นยูนิคอร์นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สันติต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งมากหน้าหลายตาที่พร้อมจะชิงไหวชิงพริบอย่างดุเดือดเพื่อก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งในสมรภูมินี้ ทำให้เขาต้องเข้าไปคลุกคลีและเรียนรู้จากนักธุรกิจชาวจีน เพื่อเฟ้นหาหนทางโค่นยักษ์ใหญ่ในวงการ และพลิกธุรกิจของตนให้กลายเป็นสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นรายแรกของไทยให้จงได้
ทัพนักแสดงมากฝีมือ
ซีรีส์ยังคับคั่งไปด้วยนักแสดงมากความสามารถที่จะมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวอันเข้มข้นและยังมีนักแสดงทั้งเก่าและใหม่อย่างคับคั่ง
โดยผู้กำกับ ณฐพล บุญประกอบได้กล่าวเอาไว้ในบทสัมภาษณ์
“ผมคิดว่าตัวละครหลักทั้ง 5 ตัวจะเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ที่คนดูคาดไม่ถึง ไล่ตั้งแต่ สันติ ที่ไม่รู้ว่าชีวิตเขาจะ ‘สันติ’ กี่โมง 555 มีแต่ความบ้าดีเดือดเหนือความคาดหมาย ส่วน เสี่ยวหยู ที่จะมาเซอร์ไพรส์เราด้วยหัวจิตหัวใจของเธอ ที่จะแกร่งไปถึงไหน หรือกระทั่ง รุ่ยเจี๋ย มนุษย์ผู้โผงผาง หยาบคาย และป่าเถื่อนแต่คนดูจะได้ค้นพบแง่มุมลึกลับที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
รวมถึงฝั่งคู่อริอย่าง คณินและเคน สองพ่อลูกเจ้าสัวที่ก็จะมาเซอร์ไพรส์คนดูถึงแรงผลักดันที่พวกเขาเลือกเดินหน้าขยี้พวกสันติอย่างไม่รามือ อะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนสองพ่อลูกคู่นี้
นอกจากนี้ยังมีตัวละครสมทบคนอื่นๆ อีกคับคั่งที่รับรองว่าคนดูจะได้เซอร์ไพรส์ไปกับพวกเขาไม่น้อยไปกว่าการลุ้นทุกครั้งเวลาเปิดกล่องพัสดุแน่นอน 555
ผมรอดู reaction คนดูในหลายๆ ซีนมากครับ จริงๆ ก็ทั้งเรื่องเลย เพราะอยากรู้ว่าเราคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่าว่ามันสนุก 555
แต่ถ้าจะให้พูดถึงแค่ซีนเดียว ขอเลือกซีนที่รุ่ยเจี๋ยจับหนอนในบริษัทครับ ด้วยความที่รุ่ยเจี๋ยเป็นตัวละครที่โผงผาง ดุร้ายในคำพูด แต่ก็จริงใจอย่างที่สุดต่อเพื่อนร่วมงาน การที่เขาต้องเปิดโหมดดราม่าในตัวเองออกมาให้คนดูเห็น ผมอยากรู้จริงๆ ว่าคนดูจะรู้สึกยังไง เพราะสำหรับผม นักแสดงได้ทุ่มพลังและพาซีนนี้ไปไกลกว่าบทที่เขียนไว้มากๆ ครับ”
- ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ รับบท สันติ
ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์
จากเด็กหนุ่มนักเรียนเทพศิรินทร์ผู้คลั่งไคล้เกม DOTA ถึงขั้นเคยตั้งทีมกับเพื่อนไปแข่งขัน เมื่ออายุ 19 ปี ไอซ์ซึได้เริ่มต้นอาชีพนายแบบในประเทศไทย เขาได้ร่วมเดินแบบให้กับแฟชั่นวีคสำคัญอย่าง Bangkok Fashion Week และ Elle Fashion Week รวมถึงถ่ายแบบให้นิตยสารชื่อดังมากมาย อาทิ VOGUE, GQ, HARPER’S BAZAAR และ IMAGE
ชื่อเสียงของเขาโด่งดังยิ่งขึ้นเมื่อเป็นนายแบบไทยคนแรกที่ได้เซ็นสัญญาทำงานในประเทศเกาหลีใต้ภายใต้สังกัด Agency Garten ทำให้ได้ร่วมงาน Seoul Fashion Week, ถ่ายแบบให้นิตยสารชั้นนำของเกาหลี (GQ, ESQUIRE, MAPS), ถ่ายโฆษณาแบรนด์ดัง (TOMMY HILFIGER, ADIDAS, LECOQ SPORTIF) และแสดงมิวสิควิดีโอให้ศิลปินเกาหลีอย่าง MONNI และ HOMME
หลังสั่งสมประสบการณ์ในวงการนายแบบ ไอซ์ซึได้ก้าวเข้าสู่วงการแสดงในสังกัด GTH (ปัจจุบันคือ นาดาว บางกอก) ประเดิมด้วยบท “พี่ไอติม” ในละคร “มาลี เพื่อนรัก..พลังพิสดาร” (2558) ซึ่งแม้จะเป็นบทสมทบเล็กๆ แต่ก็สร้างการจดจำได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้เขาก้าวขึ้นมารับบทพระเอกเต็มตัวครั้งแรกในบท “ปุณ” จากซีรีส์ “แก๊สโซฮัก..รักเต็มถัง” (2559) คู่กับ ไอซ์-ปรีชญา และมีชื่อเข้าชิงรางวัลดาวรุ่งชาย ขวัญใจมหาชน จากเวทีมายา มหาชน 2016
ไอซ์ซึยังคงพิสูจน์ความสามารถผ่านบทบาทที่หลากหลายและท้าทายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับบุคลิกและฟิตหุ่นเพื่อรับบท “ธาม” ใน “ไดอารีตุ๊ดซีส์ เดอะซีรีส์ ซีซั่น 2” (2560), การลงทุนลดน้ำหนักถึง 14 กิโลกรัมเพื่อบท “ปาย” นักเขียนการ์ตูนแนวดาร์กในซีรีส์สยองขวัญ “คนประกอบผี” (2561) และการพลิกบทบาทสุดขั้วเป็น “แทนคุณ” ฆาตกรโรคจิตใน “Voice สัมผัสเสียงมรณะ” (2562) พร้อมกับบท “มาร์ค” ซูเปอร์สตาร์หนุ่มแสนอบอุ่นใน “365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ” (2562)
ความทุ่มเทและความสามารถทางการแสดงของเขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง การันตีด้วยรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากหลากหลายสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 19, รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 31, รางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย และรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 31 จากภาพยนตร์เรื่อง “วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” (2565) และล่าสุดกับรางวัลนาฏราช สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากซีรีส์ “ดีลีต” (2566)
ผลงานทั้งหมดใน Netflix
- สัมผัสเสียงมรณะ voice
- วันสุดท้าย…ก่อนบายเธอ one for the road
- สงครามส่งด่วน Mad Unicorn
- เจนเย่-เมธิกา จีรนรภัทร (นักแสดงสาวลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน) รับบท เสี่ยวหยู
เป็นนักแสดงและนักร้องลูกครึ่งไทย-ไต้หวันเคยเป็นนางเอกในซีรีส์ ซุป’ตาร์กับหญ้าอ่อน ประกบคู่กับพระเอกชื่อดัง ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ เธอเคยอยู่สังกัด GMMTV ปัจจุบันเป็นนักแสดงอิสระ
- พีช-พชร จิราธิวัฒน์ รับบท เคน
- เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ รับบท เจ้าสัวคณิน
นักร้องนักแต่งเพลง ปรดิวเซอร์ดีเจและนักแสดง ชาวไทยผู้มีประสบการณ์ เขายังเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นเจ้าของ Music Bugs Company ซึ่ง เป็น ค่ายเพลงที่มีวงดนตรีไทยหลายวง เช่นBodyslam , Big Ass , Labanoon และ Friday
- ดร.พลัง โลกศิลป์ รับบท รุ่ยเจี๋ย
อีกหนึ่งความน่าสนใจของซีรีส์คือ การมีตัวละครที่สื่อสารกันด้วยภาษาจีน ซึ่งจะมีการพากย์ไทยทับเพื่อให้ผู้ชมชาวไทยได้รับอรรถรสในการรับชมอย่างเต็มที่โดยมีทั้งเหล่าซื้อและนักแสดงหน้าใหม่อย่าง ดร.พลัง โลกศิลป์ ที่ผู้กำกับพบจากการได้ชมรายการ Take Me Out Thailand
“สงครามส่งด่วน” (Mad Unicorn) ไม่เพียงแต่เป็นซีรีส์ที่มอบความบันเทิงครบรส แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนภาพการแข่งขันอันดุเดือดในโลกธุรกิจสตาร์ทอัป พร้อมมอบแรงบันดาลใจและบทเรียนล้ำค่า เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาร่วมลุ้นไปกับการเดินทางของ “สันติ” ในการสร้างตำนานยูนิคอร์นบน Netflix เร็วๆ นี้!
โดยใช้ทุนสร้างทั้งหมด 140 ล้านบาท ใช้เวลาถ่ายทำกว่า 4 ปี
เริ่มจากระบบซับซ็อนของโปรแกรมควบคุมการส่งและการสร้างระบบฐานข้อมูลนั้นไดุ้ณ Chayapatr Archiwaranguprok มาช่วยออกแบบโคด
ความลับในการนำตัวอักขระออกจากชื่อบริษัทิ
ป้ายหน้าบริษทิ Tunder Express ทำไม่ไม้ใช้ Thunder Express เพราะทุกตัวละครนั้นทำงานจนไม่มีเวลากลับมาตรวจสอบข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ รวมทั้งการให้ชื่อป้ายแรกหน้าบริษัทินั้นล้อไปกับคำว่า ทันเด้อ แม้ว่าในเรื่องจะเขียนถูกแล้ว
เหมือนการตกย้ำว่าข้อผิดพลาดๆ เล็กๆ เพียงจุดเดียวนั้นสามารถทำลายบริษัทิได้เราต้องไม่พลาดการตรวจสอบและใช่มาตราฐานในการทำงาน
เปิดใจ Production Designer เนรมิตโลกซีรีส์จากศูนย์
เคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ หรือบรรยากาศสมจริงในซีรีส์ที่เราชมกันนั้น มีความทุ่มเทและรายละเอียดซับซ้อนซ่อนอยู่มากเพียงใด? วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังงานสร้างสุด “คลั่ง” จากมุมมองของ ศราวุธ แก้วน้ำเย็น – Production Designer ผู้อยู่เบื้องหลังการเนรมิตฉากต่างๆ ให้มีชีวิตชีวาและสมจริงจนน่าทึ่ง
ยังไม่รวมกับการนักจัดแสดงในฉาก
สเกลงานสร้างที่ต้องร้องว้าว:
เพียงแค่ได้ยินตัวเลขก็ต้องตกตะลึงกับปริมาณของประกอบฉากที่ใช้ในเรื่องนี้:
- กล่องพัสดุมากถึง 70,000 ใบ และพัสดุที่ห่อสำหรับส่งอีก 1,000 ชิ้น ซึ่งต้องใช้ทีมงานผลิตกล่องโดยเฉพาะถึง 50 คน และใช้เวลานานถึง 3 เดือน ในการเตรียมการ
- สำหรับฉากสำคัญอย่างวัน 11.11 ในซีรีส์ มีการระดมรถเข้าฉาก ทั้งรถส่งของและมอเตอร์ไซค์รวมกันมากถึง 120 คัน เพื่อสร้างภาพความคึกคักและสมจริง
ความหมายที่ซ่อนอยู่ในรายละเอียด:
นอกเหนือจากความยิ่งใหญ่ของปริมาณแล้ว ทีมงานยังใส่ใจในรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์ โดยในซีรีส์จะมี เทพกวนอูถึง 3 องค์ ประดิษฐานอยู่กับ 3 ผู้ทรงอิทธิพลต่อ “สันติ” ในเรื่อง ได้แก่:
- ในสำนักงานของเฮียเหมืองทราย
- ในห้องทำงานของคณิน
- ในตึกบ้านของเสี่ยจางที่ประเทศจีน (องค์นี้มีความสูงถึง 450 เซนติเมตร)
ความท้าทายที่เหนือความคาดหมาย:
คุณศราวุธเล่าถึงเซ็ตที่ดูเหมือนไม่น่าจะยาก แต่กลับกลายเป็นงานหินกว่าที่คิด:
- เซ็ตเหมืองทราย: “ใครจะคิดว่าทีมโลเคชั่นจะหาโลเคชั่นมาได้สวยมาก บริเวณทั้งหมดสวย แต่ผมดันไม่ชอบห้องสำนักงาน” คุณศราวุธเล่าถึงจุดเริ่มต้นไอเดียที่อยากจะสร้างห้องสำนักงานขึ้นใหม่กลางเหมืองเลย พร้อมด้วยป้ายเหมืองทรายขนาดใหญ่ ที่ได้แรงบันดาลใจจากป้ายในภาพยนตร์เรื่อง ‘มหา’ลัยเหมืองแร่’ ของพี่เก้ง จิระ มะลิกุล
- เซ็ตโกดังธันเดอร์: เซ็ตนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เพราะต้องแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจ จากจุดเริ่มต้นที่มีของเพียงชิ้นเดียว จนกระทั่งมีของเป็นหมื่นเป็นแสนชิ้นในโกดัง “จริงๆ ตอนนี้ผมคิดว่าของในโกดังผมมีถึงแสนชิ้นอะ” คุณศราวุธกล่าว
ความน่าตกใจของเซ็ตนี้คือ หลายคนที่มาเยี่ยมชมกองถ่ายมักจะพูดว่า “ที่นี่เค้าครบดีเนอะ” แต่ในความเป็นจริงแล้ว “ตอนเดิมมันไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งสิ่งที่ทุกคนเดินทุกวันโดยที่ไม่มีใครรู้ตั้งแต่วันแรก คือพื้นปูนทั้งหมดของหน้าโกดัง จริงๆ แล้วเรา มันไม่ใช่พื้นปูน เราไถพื้น กลบดินทั้งหมด แล้วก็เทปูนใหม่ทั้งหมดเลย ในระยะเวลาที่น่าตกใจเหมือนกัน เพราะว่าทีมช่างไม่ได้หลับได้นอน ประมาณ 7-8 วันในการเทปูน เพื่อให้มันทัน”
เรื่องราวเบื้องหลังเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเท ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานอย่างหนักของทีม Production Design ภายใต้การนำของ คุณศราวุธ แก้วน้ำเย็น ที่ไม่เพียงแต่สร้างฉาก แต่ยังเนรมิตโลกทั้งใบให้ผู้ชมได้ดำดิ่งและเชื่อในสิ่งที่เห็นบนจอได้อย่างสนิทใจ
📒 ศราวุธ แก้วน้ำเย็น – Production Designer
ภาพวาดไม่ใช่แค่ของประดับฉาก
ภาพวาดทั้ง 3 ภาพจากฝีแปลงเด็กไทยสามารถติดต่อขอซื้อภาพวาดหรือเลือกภาพของน้องๆก็ได้เช่นกัน รายได้เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาของ

ไก่ป่า
ไก่ป่า
คอนเซ็ปต์ ไก่ที่อยู่ในป่าลึกอย่างทรงคุณค่า แม้มันจะอยู่ในป่า แต่มันก็พร้อมจะบิน
ผลงานโดย
นางสาวชลดา พรลิขิต
สามารถติดตามน้องได้ที่ https://shorturl.asia/YG9yf
นกกระเรียนกลางทะเล

คอนเซ็ปต์ การดำรงชีวิต การหากินกลางทะเลท่ามกลางคลื่น ความยากลำบาก และการต่อสู้ของชีวิต
ผลงานโดย
นายพงศธร มณีประพันธ์
สามารถติดตามน้องได้ที่ https://shorturl.asia/Wph9b
ภาควิชาศิลปกรรม คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
พลิกชีวิตนักเขียนบท สู่เส้นทาง “ถอนขนไก่” ในโลกธุรกิจจริง
จากดราม่าติ๊กต่อก สู่เรื่องจริงเบื้องหลังบทซีรีส์ที่เปลี่ยนชีวิต “แตง” นักเขียนบทมือฉมัง ไม่เพียงเขียนจบ แต่ “MAD UNICORN” ได้ปลดล็อกความกล้า ท้าทายให้เธอโดดจากหน้ากระดาษ สู่การก่อตั้งบริษัท LOOKE และปั้น GELBOYS!
เริ่มต้นจากกระแสเม้าท์มอยใน TikTok ที่ว่านักเขียนบทซีรีส์ดัง “MAD UNICORN สงครามส่งด่วน” เขียนบทไม่จบแล้วหนีไปเปิดบริษัทของตัวเองเสียอย่างนั้น “แตง” (ขออนุญาตเรียกตามที่เจ้าตัวกล่าวถึง) หนึ่งในทีมเขียนบท ขอออกมาแถลงไขความจริงว่า “เขียนจบ แถมรีไรท์ EP.6-7 ร้องไห้แงๆ อยู่หลายรอบเลย!” ไม่เพียงเท่านั้น ซีรีส์เรื่องนี้ยังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเธออย่างไม่คาดฝัน
อินเนอร์นักเขียนบท สู่การปลดล็อกศักยภาพ
แตงเล่าว่า เวลาเขียนบท เธอจะอินกับตัวละครและเรื่องราวมากเป็นพิเศษ เหมือนมี “เมจิก” เกิดขึ้นกับความรู้สึก เช่นเดียวกับตอนเขียน “Side by Side” ที่ปลดล็อกความรู้สึกของการเป็นลูกที่ถูกลำเอียง หรือ “Friendzone” กับ “My Ambulance” ที่ทำให้เข้าใจความเจ็บปวดในความสัมพันธ์มากขึ้น และสำหรับ “MAD UNICORN” มันคือการ “ปลดล็อกความกล้าของแท้”
แม้จะรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้เขียนเข้ามือ เพราะตัวละคร “บ้างาน” เหมือนกัน แต่ในอีกมุมก็ยากสุดขีด เพราะตัวละครทุกตัว “มันบ้า มันคลั่ง เกินกว่าจินตนาการของตัวเองจะไปถึง” จนรู้สึกว่าเขียนเองไม่ได้แน่ๆ ทางออกคือการรีเสิร์ชชีวิตคนอื่นอย่างหนัก อ่านหนังสือธุรกิจและชีวิตนักธุรกิจมากมาย แต่ก็ยังรู้สึก “ขาดความบ้าคลั่ง”
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการที่ “พี่ไก่” (ผู้กำกับหรือโปรดิวเซอร์) พาเธอและทีมไปสัมภาษณ์ “คุณคมสัน แซ่ลี” ผู้ก่อตั้ง Flash Express ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของเรื่อง การได้พบตัวจริง ได้ฟังวิธีคิด วิธีพูด และความเชื่อของเขา ทำให้ทีมงานถึงกับอุทานคำว่า “เชี่ย” ออกมาเกินสิบรอบ! หลังจากนั้น “พี่วัน โปรดิวเซอร์” (น่าจะหมายถึง วัน วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์) จึงให้คีย์เวิร์ดสำคัญกับทีมเขียนบทว่า “น้องลองคิดว่า อะไรที่เขียนแล้วคิดว่าตัวเองกล้าทำ ไม่ต้องเขียนออกมา เขียนอะไรที่ตัวเองไม่กล้าทำมาให้ดูหน่อย”
นั่นคือจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาการเขียนบทที่สนุกสุดๆ ทีมงาน (พี่ไก่, พี่แฮม, พี่กุ๊ก, พี่เป็ด) ต้อง “สะกดจิตตัวเองให้คิดแต่สิ่งที่กล้าทำออกมาเรื่อยๆ” ความบ้า ความกล้า และการรีเสิร์ชเรื่องธุรกิจวนเวียนอยู่ในหัวทุกวัน
เสียง “เถ้าแก่เหมืองทราย” และการตัดสินใจ “ถอนขนไก่”
เมื่อการเขียนบทดำเนินมาถึงช่วงท้ายๆ ทุกเช้า แตงมักจะได้ยินเสียง “เถ้าแก่เหมืองทราย” (น่าจะเป็นคำเปรียบเปรยหรือวลีจากบุคคลที่นับถือ) ดังก้องในหัวว่า “ถอนขนไก่ กับ ถอนขนนกกระจอกใช้เวลาเท่ากัน จะทำอะไร เลือกเป้าหมายให้ดี” ทั้งที่ตลอดชีวิตเธอบอกตัวเองว่าจะไม่ทำธุรกิจเด็ดขาดเพราะกลัวความล้มเหลวที่เคยเห็นมาจากคนรอบข้าง
แม้จะพยายามควบคุมความอิน คิดว่าแค่เขียนบทแล้วอินเกินไป แต่เสียงนั้นก็ไม่หายไป “เถ้าแก่!! จะไม่หยุดใช่มั้ย!! ละจะ ยังไงต่อล่ะ!!” สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจไปบอกพี่วันว่า “พี่วัน แตงอยากไปถอนขนไก่…” แทนที่จะพูดว่า “หนูจะลาออก” พี่วันถึงกับนิ่งไปพักหนึ่ง คงกำลังคิดว่าเธอเพี้ยนหรืออยากทำจริงกันแน่
จากบท สู่ธุรกิจจริง กับ LOOKE และ GELBOYS
ท้ายที่สุด ความปรารถนาที่จะ “ถอนขนไก่” หรือก็คือการออกไปทำธุรกิจของตัวเองก็ชัดเจนขึ้น แตงบอกพี่วันว่าอยากทำธุรกิจกับศิลปิน ทำซีรีส์แล้วปั้นศิลปินให้ดัง แม้จะไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม ทำอย่างไร แต่ “ทำเป็น 20% ใจมา 80% ลุย!”
นั่นคือจุดกำเนิดของบริษัท LOOKE ที่เธอร่วมก่อตั้งกับพาร์ทเนอร์อย่าง “พี่บอส” ที่ “เอาเรื่องพอๆ กับสันติ (ตัวละครเอกใน MAD UNICORN)” และ “พี่แอมมี่” ที่มี “ผ้าเบรกแรงพอกับเสี่ยวหยู (ตัวละครใน MAD UNICORN)” พร้อมทีมงานอีกหลายชีวิต และเธอก็ได้ค้นพบว่า “ช่วงเวลาแห่งการถอนขนไก่แม่งยากว่ะ55555 เหนื่อยชิบหายยยยย”
แต่ความพยายามก็เริ่มเห็นผล “ลูกคนแรก” ของ LOOKE ก็คลอดออกมาเป็น GELBOYS จากซีรีส์ GELBOYS สถานะกั๊กใจ โมเมนต์ที่พา GELBOYS ไปเจอแฟนคลับที่สยามครั้งแรก ทั้งลุ้นว่าจะมีคนมาไหม ฝนตกแล้วแฟนๆ จะยังอยู่หรือเปล่า พอเห็นแฟนคลับกางร่มมารอเต็มที่นั่ง เธอก็แอบร้องไห้ด้วยความตื้นตัน “ความรู้สึกของสันติช่วงมีกล่องพัสดุ มากองอยู่ในคลังๆ ล็อตแรกก็น่าจะรู้สึกแบบนี้ใช่มั้ย”
ชีวิตที่ยังคงดำเนินไปพร้อมกับ MAD UNICORN
ณ วันนี้ ที่กำลังจะเริ่มขายบัตร FANMEET ครั้งแรกของ GELBOYS เธอบอกว่าทุกคนในบริษัทคงนั่งลุ้นไม่ต่างจากภาพในบริษัท THUNDER EXPRESS ในซีรีส์ไม่ว่าบริษัทที่สร้างมาจะก้าวไปสเตปไหน เวลาที่พุ่งแรงหรือท้อแท้ ซีนในบท MAD UNICORN ฉบับที่ยังไม่ฉาย มันคือกาวสำคัญในชีวิตเป็นอย่างมาก
เปิดใจ costume designer: เบื้องหลังงานคอสตูมสุดเดือด และพลังทีมที่สร้างปรากฏการณ์
เรื่องราวเบื้องหลังความสำเร็จของผลงานชิ้นโบแดง ไม่ได้มีเพียงแค่หน้าฉากที่สวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจ และมิตรภาพของทีมงานที่พร้อมจะ “ซัดกันยับๆ” เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด วันนี้ “Mad unicorn” ในฐานะ Costume Designer ของโปรเจกต์ยักษ์ที่กำลังเป็นที่พูดถึง ขอมาเปิดใจเล่าถึงประสบการณ์สุดมันส์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนถึงวันที่ผลงานได้สร้างความประทับใจให้ผู้ชมในวงกว้าง
จุดเริ่มต้นความผูกพัน: จาก “เอหิปัสสิโก” สู่ลาดกระบัง
Mad unicorn เล่าถึงการรู้จักกับ “ไก่” (ผู้กำกับ) ครั้งแรกว่า “จ๊ะเอ๋ๆ บอกพี่นุชชี่ (ผู้แนะนำ) ต้องรู้จักนาง หนังนางโคตรดี” ตอนนั้นไก่กำลังทำหนังสารคดีเรื่อง “เอหิปัสสิโก” ซึ่งยังไม่ได้ฉายในวงกว้าง เป็นการฉายในกลุ่มเล็กๆ Mad unicorn จึงแนะนำให้อาจารย์เด๋อ ลองนำไปฉายให้นักศึกษาดู อาจารย์เด๋อจึงพาหนังของไก่ไปฉายที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในวิชาสัญญลักษณ์ในงานศิลปกรรม ทำให้ Mad unicorn ได้มีโอกาสรับชมด้วย
“สนุกมาก สนุกจนไม่เดินไปเยี่ยว อยากดูไปเรื่อยๆ งงมาก” คือความรู้สึกหลังชมจบ และค่ำคืนนั้นก็จบลงด้วยการไปเลี้ยงรับรองแขกที่ร้านเจ๊เพ็ญอาหารป่าแถวลาดกระบัง พร้อมอาหารป่ารสเด็ดและเบียร์ลีโอ เป็นการพูดคุยที่สนุกสนานและน่าจดจำ
“นิดหน่อย” ที่ไม่นิดหน่อย และการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิต
เวลาผ่านไป “ไบซัน” (โปรดิวเซอร์หรือผู้ติดต่อ) ได้ติดต่อ Mad unicorn ให้มาทำหนังให้หน่อย เมื่อถามกลับไปว่างาน “เยอะมะ?” ไบซันตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วยิ้มว่า “นิดหน่อย” ซึ่ง Mad unicorn คิดในใจทันทีว่า “กุไม่เชื่อออ!” หลังจากได้รับบทมาอ่าน ก็อ่านรวดเดียวจบด้วยความสนุกและชื่นชอบ พร้อมตัดสินใจในใจว่า “ยังไงกุก้อทำ!!” โดยหารู้ไม่ว่าอะไรกำลังจะรออยู่เบื้องหน้า
!!!เดือดสัสสส!!! โปรดักชั่นยักษ์ และการสร้างทีมจากศูนย์
“เป็นโปรดักชั่นที่ใหญ่มากไม่เคยเจอมาก่อน” Mad unicorn ยอมรับ เริ่มตั้งแต่การหาเรฟเฟอเรนซ์ที่ใช้เวลาร่วม 2 เดือนเต็ม หน้าจอคอมพิวเตอร์อุดมไปด้วยไฟล์พรีเซนต์ถึง 279 เพจ 67 โฟลเดอร์ และ 13 กลุ่มไลน์เฉพาะกิจ ทีมงานในแผนกก็มากมายจนงง จากคนที่เคยทำแต่หนังอินดี้ ต้องมาตั้งต้นขบวนใหม่ทั้งหมด
“ตั้งแต่วันแรก จนวันที่เราประกอบร่างทีมงานกันขึ้นมารู้เลยว่าไม่มีอะไรง่าย” Mad unicorn กล่าว แต่โชคดีมากที่มีทีมงานน้องๆ ทุกคนคอยซัพพอร์ตทุกอย่างเป็นอย่างดี
พลังแห่งทีมเวิร์ค: ขอบคุณจากใจถึงทุกคน
หัวใจสำคัญของความสำเร็จในงานสเกลใหญ่ขนาดนี้คือ “ทีม” Mad unicorn ได้กล่าวขอบคุณทีมงานทุกคนอย่างสุดซึ้ง:
- ดาว, หมู, เกด, ต้น, เทียน, แจง, เป็ด, พี่บอย, ฟิ้งค์, น้าเล็ก, น้ารวย, ทีมยกขนเคลียร์ของของต้น, พี่ๆ ไรเดอร์ทุกคน ที่คอยส่งผ้า ตัดผ้า ส่งอาหาร
- ช่างตัดทุกๆ คน และร้านค้าที่สวนจตุจักร ที่ยอมมอบบัตรประชาชนเพื่อมาแนบบิลโดยไม่ระแวง
- น้องเด็กหนุ่มคนนั้น ที่เดินสวนกันแล้วยอมขายต่อเสื้อ “สันติ” ให้ เพราะอยากได้จริงๆ
- ดาว ที่ไปสรรหาผ้าถุงชาวเขามาให้ยำทำกระเป๋าให้ “สันติ” (ตัวละคร)
- เทียน ที่วิ่งไปดีลเสื้อตัวนั้นให้เพราะพี่ร้องงอแงอยากได้
- น้องเด็กบดินทร์ 2 ที่เจอกันที่ยูนิโคล่ ตลาดปัฐวิกรณ์ และยอมถอดรองเท้าให้ “CEO” (ตัวละคร/นักแสดง) ใส่
- หมู ที่เดินเข้าออกร้านที่ตึกแดงหาเสื้อ Barakuta เท่านั้น! ให้อย่างไม่ย่อท้อ
- ต้น ที่สั่งเสื้อ Fila จากอินโดนีเซียมาให้จนได้
- เกดและทีม ที่เป็น “ม้าที่ดีที่สุด” (ทำงานหนักและดีเยี่ยม)
“ทุกคนในทีมที่เป็นเบื้องหลังของทีมนี้ หนังเรื่องนี้ทำให้ทุกคนเห็นว่าหนังดี นักแสดงดี และทุกๆ คนไม่ลืมพูดว่าทีมงานทุกคนทำรายละเอียดทุกอย่างได้เป็นอย่างดี สิ่งนี่คือสิ่งที่ซาบซึ้งใจที่สุด” Mad unicorn เผยความรู้สึก
จากความทุ่มเท สู่ความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ
Mad unicorn ย้ำว่าสิ่งที่คิดทั้งหมด สิ่งที่อยากให้เห็นและเป็น มันไม่มีวันเป็นไปได้ถ้าไม่มีทีมงานที่ดีคอยซัพพอร์ต ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น การฟิตติ้ง 10 กว่าวันเต็มไปด้วยทีมเวิร์คที่ดี และหายเหนื่อยทุกครั้งที่ฟิตติ้งเสร็จในแต่ละวัน
“พอเมื่อวันที่หนังฉาย มีคนชื่นชมและพูดถึงหนังแบบนี้ในวันนี้ มันทำให้คิดย้อนกลับไปวันที่เราเริ่มงานกัน พวกเราฟาดกันมาได้ขนาดนี้ ผลสำเร็จของการชื่นชมของคนดูหนังเรื่องนี้มันตอบแทนทุกคน ทีมงานทุกคน ทุกแผนกได้เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้มันน่าภาคภูมิใจมากที่สุด”
การทำงานในสเกลใหญ่ขนาดนี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับ Mad unicorn และไม่เคยคิดว่ามันจะมีผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้ จึงขอยกทุกความดีความชอบให้กับทีมงานทุกคน
ส่งต่อความหมาย และความภาคภูมิใจในฐานะทีมงาน
หลังจากซีรีส์ออกฉาย Mad unicorn สนุกกับการที่ผลงานได้เดินทางไปทำหน้าที่ของมัน พาผู้คนถอดรหัสและตีความมากมาย “บัดนี้การตีความของทางเราสิ้นสุดแล้ว ต่อจากนี้จะสนุกไปกะทุกความหมายที่ทุกๆ คนได้รับและตีความกันอย่างเบิกบาน”
ท้ายที่สุด ความหมายที่ดีที่สุดของกระแสซีรีส์นี้ ไม่ใช่แค่ความโด่งดัง แต่คือการสร้างความรู้สึกใหม่ให้กับทีมงาน มันคือ “ความที่หนังพาตัวมันเองมาถึงจุดที่มันพามา มันทำผู้คนมองกลับมาที่ทีมงานในทุกแผนก ทุกหน่วย ของหนังเรื่องนี้ ที่ซัดกันยับๆ จิงๆ”
เรื่องราวของ Mad unicorn และทีมงาน เป็นอีกหนึ่งเสียงยืนยันว่าเบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ คือพลังของทีมเวิร์ค ความทุ่มเท และหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของคนทำงานตัวเล็กๆ ที่พร้อมจะ “ซัดกันยับๆ” เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ดีที่สุดออกมาสู่สายตาผู้ชม
ทีมโลเคชั่น “สงคราม ส่งด่วน”: ภารกิจเฟ้นหาสถานที่ถ่ายทำสุดหิน
ซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” ไม่เพียงแต่เนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตาม แต่เบื้องหลังการถ่ายทำ โดยเฉพาะงานของทีมโลเคชั่น ก็เต็มไปด้วยความท้าทายและเรื่องราวสุดมันส์ไม่แพ้กัน จากคำบอกเล่าของ อุทิศ บุญเสริมคณิต, พูลศักดิ์ พลอินทวงษ์ และ ศุภกิจ อนันต์สมสกุล สามทหารเสือแห่งทีมโลเคชั่น เผยให้เห็นถึงความทุ่มเทและความอลหม่านกว่าจะได้ภาพสวยๆ ในแต่ละฉาก
จากบทสนุกสู่ความจริงสุดโหด: 72 คิว และสารพัดโลเคชั่น
“เป็นซีรีส์เรื่องแรกของผมครับ” อุทิศเริ่มต้นเล่า “คุยเริ่มต้นที่ 72 คิว ทำงานแรกก็ยาวเลย พออ่านบทมีความรู้สึกสนุกดี แต่พอลองแยกโลเคชันออกมาดูแล้วก็ เฮ้ย เยอะนะ!” นี่คือจุดเริ่มต้นของภารกิจสุดหิน เพราะการจะสรุปโลเคชั่นทั้งหมดให้จบก่อนถ่ายทำ สำหรับซีรีส์ที่มีความหลากหลายของฉากตั้งแต่กรุงเทพฯ ต่างจังหวัด ป่า ดอย ทะเล ถนนที่ต้องปิดเพื่อถ่ายทำ โรงแรมหรู โกดังที่ต้องเนรมิตขึ้นใหม่ และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย “ทำคนเดียวคงไม่รอด” อุทิศยอมรับ
เดิน ฝ่า นั่งรถไฟฟ้า: ทุกวิถีทางเพื่อโลเคชั่นในฝัน
การทำงานของทีมโลเคชั่นไม่เคยมีวันหยุด พวกเขาเซอร์เวย์สถานที่กันทุกวัน เมื่อได้ตัวเลือกก็นำเสนอทีมงาน หากไม่ถูกใจก็ต้องเริ่มต้นหาใหม่ วนลูปไปเรื่อยๆ “หลายๆ โลเคชันต้องเดินหา นั่งรถไฟฟ้าหา เพราะอยากได้ดาดฟ้าตึกที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่าน” พวกเขาเล่าถึงความพยายามเพื่อให้ได้ภาพตรงตามจินตนาการ บางครั้งเรื่องพื้นฐานอย่างจุดจอดรถทีมงานหรือจุดพักกองถ่ายต้องถูกมองข้ามไปก่อน ขอแค่ได้โลเคชั่นที่ใช่ แล้วค่อยมาแก้ปัญหานั้นทีหลัง หรือแม้กระทั่ง “บางโลเคชันต้องไปขอจอดรถในอาบอบนวด 5555” สะท้อนถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเจอ
ทีมเวิร์คดุจทหารผ่านศึก: จากโฆษณาสู่สมรภูมิซีรีส์
แม้จะเจองานหนัก แต่โชคดีที่ทีมนี้ไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการ “งานนี้โชคดีที่ได้ทีมที่ดี เคยทำงานด้วยกันมานาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานโฆษณา พอมาเจอกันในงานนี้มันก็เหมือนทหารที่ฝึกซ้อมรบมาด้วยกัน และได้มาออกสมรภูมิรบด้วยกันจริงๆ” ความคุ้นเคยและประสบการณ์จากงานโฆษณาที่ต้องแข่งกับเวลาและความเป๊ะ ทำให้พวกเขาสามารถรับมือกับความท้าทายของงานซีรีส์ได้
3 เดือนแห่งการเฟ้นหา และ “หัวเราะทั้งน้ำตา”
กระบวนการหาโลเคชั่นกินเวลานานไม่ต่ำกว่า 3 เดือนก่อนเปิดกล้อง เพราะทุกอย่างต้องสรุปให้เรียบร้อย แต่ถึงจะวางแผนมาดีแค่ไหน ก็ยังมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ “บางที่พอถึงเวลาใกล้ถ่าย ก็ไม่สะดวกให้ถ่ายแล้ว เช่น มีคนมาเช่าแล้วไม่ว่าง หรือคิวซ้อนกัน สรุปหาใหม่ 5555555 หัวเราะทั้งน้ำตา” คือสถานการณ์ที่ทีมงานต้องเผชิญอยู่บ่อยครั้ง
ท้ายที่สุด ทีมโลเคชั่นฝากคำท้าทายถึงผู้ชม “และในขณะที่คุณดู ‘สงคราม ส่งด่วน’ ลองนับโลเคชันดูนะครับว่ามีทั้งหมดกี่โล คำเตือน ใช้วิธีนับนิ้วคงไม่พอ 555555” เป็นการตอกย้ำถึงความอลังการของงานสร้างและความทุ่มเทของทีมงานเบื้องหลังทุกคนอย่างแท้จริง.
หนึ่งในความลงตัวของเหล่าตัวประกอบที่สำคัญ
นอกเหนือไปจากหัวละครหลักแล้วยังมีส่วนเสริมเรื่องนั้นคือการใช้ตัวประกอบช่วยทำให้เรืองดูเข้าใจและไม่แปลกแยกหรือดูผิดที่ผิดเวลา
พี่ธีรพล ปัญญายุทธการ
ป้อง นภัทร บริสุทธิ์‘ นักพากย์สาวผู้ให้เสียงไทย Taskmaster จาก Thunderbolts (2025) ผู้มีโอกาสไปร่วมแจมเป็น Extra ในซีรีส์ไทยชื่อดังบน Netflix ณ ขณะนี้..
ชาลี นักแสดงร้อยหน้า
หนุ่มเมืองจันท์
Netflix เปลี่ยนกล่องพัสดุ สู่มีเดียการตลาดแบบส่งด่วน
หนึ่งสิ่งที่ Netflix ไทยทำถึงและทำได้จัดจ้าน ในการโฆษณามาใช้ให้ผู้คนในชีวิตจริงได้สัมผัสถึงภารกิจนส่งด่วน
พร้อมทั้งยังคอลแลบกับขนส่งไทยในช่วง 6 เดือน 6 ที่จะถึงนี้เพียงสั่งสินค้าที่รวมรายการก็ได้เข้าร่วมสงครามสงด่วนอีกด้วย!