[kofi]

ภาพยนตร์ “เพื่อนสนิท” ถึงไม่ได้ถ่ายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่?

เป็นคำถามที่ค้างคาใจแฟนหนังและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่มานานว่า เหตุใดภาพยนตร์รักในดวงใจอย่าง “เพื่อนสนิท” ซึ่งมีฉากหลังเป็นชีวิตนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ มช. ถึงไม่ได้ถ่ายทำในสถานที่จริง?

คำตอบของปริศนานี้อาจต้องย้อนกลับไปสำรวจประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของวงการภาพยนตร์ไทย ที่มีรั้วสีม่วงแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของจุดเปลี่ยน โดยตัวภาพยนตร์เพื่อนสนิทถูกถ่ายทำโดยเนื้อหาที่กล่าวถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่กลับไปถ่ายทำในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตภาคพายัพแทน

ยุคทองของ มช. ในโลกภาพยนตร์

ช่วงทศวรรษ 2520 จังหวัดเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) คือโลเคชั่นในฝันของวงการภาพยนตร์ไทย โดยเฉพาะหนังรักโรแมนติกที่สร้างปรากฏการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่กระแสความนิยมพุ่งถึงขีดสุดในปี 2526 กับ “วันวานยังหวานอยู่” และภาคต่อ “วันนี้ยังมีเธอ” ที่ส่งให้วง “แมคอินทอช” และนางเอกสาว อรพรรณ พานทอง โด่งดังเป็นพลุแตก ภาพลักษณ์ของ มช. ในฐานะดินแดนแห่งความรักและความฝันได้ตราตรึงใจวัยรุ่นทั่วประเทศ

วันวานยังหวานอยู่ (2526)

“ฉันผู้ชายนะยะ” หมุดหมายสำคัญและจุดเปลี่ยนที่คาดไม่ถึง

เรื่องราวดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่งปี 2529 ภาพยนตร์เรื่อง “ฉันผู้ชายนะยะ” ได้ก้าวเข้ามาสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ทั้งต่อวงการหนังและต่อภาพลักษณ์ของ มช.

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่กล้าหาญ แต่ยังถือเป็น หมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ LGBTQ+ ของไทย ในฐานะผู้กรุยทางที่ทำให้สังคมได้เรียนรู้และตั้งคำถาม แม้จะต้องเผชิญกับการลองผิดลองถูกก็ตาม “ฉันผู้ชายนะยะ” ดัดแปลงมาจากบทละครเวทีตะวันตกชื่อดังอย่าง “The Boys in the Band” ซึ่งก่อนจะมาเป็นภาพยนตร์ ก็เคยเป็นละครเวทีที่โด่งดังถล่มทลายในไทยและเปิดการแสดงนับร้อยรอบมาแล้ว

ภายใต้การกำกับของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล (หม่อมน้อย) หนังเล่าเรื่องราวในบริบทไทยได้อย่างถึงแก่น ผ่านปาร์ตี้วันเกิดของกลุ่มเพื่อนเกย์/กะเทย ที่ต้องมาเล่นเกมจิตวิทยาสุดบีบคั้น ด้วยการโทรศัพท์ไป “บอกรัก” คนที่ตนรักที่สุดต่อหน้าเพื่อนๆ ทำให้บาดแผลในใจของแต่ละคนถูกเปิดเปลยออกมา

qtgg81yo1TfUbBet7HW o

ภาพยนตร์เรื่องนี้รวมทัพนักแสดงระดับตำนานไว้อย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น ชลิต เฟื่องอารมย์, สุรศักดิ์ วงษ์ไทย, มารุต สาโรวาท, ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง และแม้กระทั่ง อ.เผ่าทอง ทองเจือ ในบทบาทที่ท้าทายขนบสังคมอย่างยิ่งยวด นอกจากนี้ ยังได้ ดร.เสรี วงศ์มนทา มาร่วมเขียนบท และที่สำคัญคือการมีกลุ่มนางโชว์ LGBTQ+ ชื่อดังของ มช. ในยุคนั้นอย่าง “โรสเปเปอร์” มาร่วมสร้างสีสัน ยิ่งตอกย้ำความเชื่อมโยงกับชีวิตนักศึกษาในรั้ว มช. ให้เด่นชัดขึ้นไปอีก

ข้อความส่วนนึงจากบทสัมภาษณ์

เราตื่นเต้นเสมอกับการค้นพบเรื่องราวของชาว LGBTQ ในยุคก่อน และนับถือพวกเค้าเสมอในฐานะผู้กรุยทางให้เราก่อน ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะดีหรือร้าย จะทำให้สังคมเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิดใดๆ เพราะทุกสิ่งอย่างนั้นก็คือการเรียนรู้และลองผิดลองถูก แล้วมันก็ประกอบร่างสร้างประวัติศาสตร์ LGBTQ ขึ้นมาให้เราได้เลือกว่าจะเดินตามหรือจะหาหนทางใหม่ๆ แล้วเดินไปเอง

.
เราค้นพบ “ฉันผู้ชายนะยะ” ในช่วงวัย ม.ต้น เมื่อมันถูกนำกลับมาฉายในโทรทัศน์ในรายการประเภทหนังไทยเช้าวันเสาร์/อาทิตย์ แล้วก็ตื่นเต้นดีใจว่า มันมีหนังไทยแบบนี้ด้วยเหรอ แต่ที่ทำให้เราตื่นเต้นจริงๆ ก็คือตอนได้กลับมาย้อนดูอีกครั้งในช่วงเรียนมหา’ลัย ช่วงเวลาที่เรากำลังค้นหาตัวเอง สร้างบุคลิกภาพ และมองไปยังอนาคต ซึ่ง “ฉันผู้ชายนะยะ” ก็ทำให้เรามองเห็นถึงความหลากหลายของความเป็นไปได้ในการเป็นเกย์ และได้พบว่า มันเป็นไปได้ที่เราจะมีกลุ่มเพื่อนเกย์แบบนี้

.
เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนเกย์/กะเทยที่มารวมตัวกันที่บ้านของ “มด” สจ๊วตหนุ่มมาดแมนที่แปลงร่างเป็นเกย์สาววี๊ดว๊ายเมื่ออยู่กับเพื่อนๆ เสมอ เพื่อจัดปาร์ตี้วันเกิดให้ “เต้ย” เกย์ตัวแม่ของกลุ่ม ทว่าเรื่องวุ่นๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่าง “อั้น” เพื่อนหนุ่มสมัยเรียนที่ มช. ของมดโผล่มา แล้วเพราะความเกลียดตุ๊ดของอั้นนี่ล่ะ ที่ทำให้มดสติแตกบัญญัติและบังคับให้ทุกคนเล่นเกมจิตวิทยา โดยจะต้องยกหูโทรศัพท์โทรหาคนที่ตัวเองรักมากที่สุด แล้วบอกรักคนคนนั้น ทีนี้ ผู้ชมอย่างเราๆ ก็ได้รับรู้บาดแผลของสมาชิกแต่ละคน ไปพร้อมกับการหาตัวผู้ชนะในเกมนี้

.
หลายคนอาจจะคุ้นๆ พล็อตของเรื่อง เพราะมันสร้างมาจากบทละครเวที The Boys in the Band (ที่เพิ่งถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของ Netflix และเราได้เขียนถึงไปแล้ว) แล้วเส้นทางของ “ฉันผู้ชายนะยะ” ก็คล้ายๆ กับต้นเรื่อง คือถูกเอามาสร้างเป็นเวอร์ชั่นละครเวทีก่อน โด่งดังเป็นพลุแตกเล่นซ้ำเป็นร้อยรอบ ถูกเอามาสร้างเป็นภาพยนตร์ในเวลาต่อมา และยังถือเป็นบทละครเวทีคลาสสิกที่มีการหยิบมาทำใหม่อยู่บ่อยๆ

.
สำหรับเราแล้ว เวอร์ชั่นภาพยนตร์โดยการกำกับของหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) นี้มีอะไรหลายอย่างที่เก๋มากนะ อย่างกลุ่มตัวละครกะเทยแต่งหญิงที่โผล่ไปโผล่มาในฉากย้อนอดีตของมด (จนถึงฉากสุดท้ายของเรื่องที่นางโผล่มาปิดประตูบ้าน) การบิดเรื่องจากเวอร์ชั่นฝรั่งมาเล่าในบริบทไทยๆ ที่สะท้อนภาพชีวิตเกย์ในยุค 30 ปีก่อน หรือแม้แต่การใช้ถ้อยคำที่สะท้อนภาพของคนภายนอกที่มองมายังกลุ่มเกย์ (ซึ่งต่างจากเวอร์ชั่นอเมริกันมาก) แต่ก็ต้องย้ำว่า การดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกก็ต้องมองด้วยกรอบของการเป็นหนังไทยในยุคนั้นด้วย ถึงจะสนุก

.
ชอบมากด้วยแหละที่ได้เห็นนักแสดงรุ่นใหญ่หลายๆ คนโลดแล่นด้วยบทบาทจัดจ้านแบบนี้ โดยเฉพาะ ชลิต เฟื่องอารมณ์, สุรศักดิ์ วงษ์ไทย, มารุต สาโรวาท, อาจารย์ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง หรือแม้แต่ อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ในบทเลิฟซีนกับผู้ชาย

โรสเปเปอร์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือ กลุ่มของนักศึกษาสาวประเภทสอง ที่รวมกลุ่มตั้งคณะคาบาเร่ต์โชว์ ตอนที่เรียนอยู่ที่ มช.  เริ่มตั้งคณะโชว์ ปี 2521 และ ใช้ชื่อ โรสเปเปอร์ เมื่อปี 2522 เกิดก่อนโรงละครทิฟฟานี่แห่งพัทยา

หลังจากภาพยนตร์ออกฉาย ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ เนื่องจากสังคมไทยในสมัยนั้นยังไม่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายทางเพศมากนัก ภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยจึงถูกผูกโยงเข้ากับประเด็นที่ละเอียดอ่อนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลกระทบที่อาจเป็นสาเหตุสู่ปัจจุบัน

จากกระแสดังกล่าว จึงมีการสันนิษฐานกันว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัยในยุคนั้นอาจเกิดความลำบากใจและตั้งรับกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ไม่ทัน การที่ภาพลักษณ์ของสถาบันถูกนำเสนอในแง่มุมที่ยังเป็นที่ถกเถียงในสังคมวงกว้าง อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มหาวิทยาลัยเพิ่มความระมัดระวัง และอาจนำไปสู่นโยบายที่เข้มงวดในการอนุญาตให้ใช้สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เรื่องราวนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่า หลังจากนั้นก็แทบไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดได้เข้าไปถ่ายทำใน มช. อีกเลยเป็นเวลานานหลายสิบปี จนกระทั่งปี 2554 หม่อมน้อยได้กลับมาขอใช้สถานที่อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” ซึ่งถ่ายทำฉากบ้านโบราณที่สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มช. โดยครั้งนี้ทางมหาวิทยาลัยได้อนุญาต แต่ก็มีการพิจารณาและตรวจสอบบทภาพยนตร์อย่างเข้มงวด

อุโมงค์ผาเมือง – 2554 

ดังนั้น แม้จะไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่เรื่องราวของ “ฉันผู้ชายนะยะ” ก็อาจเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยไขข้อสงสัยว่า ทำไมภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตใน มช. อย่าง “เพื่อนสนิท” จึงต้องไปถ่ายทำที่มหาวิทยาลัยอื่นแทนนั่นเอง

นิยายต้นฉบับ “กล่องไปรษณีย์สีแดง” ที่ดัดแปลงเป็นหนัง “เพื่อนสนิท”

โดเนท

[kofi]

Simscolony
Simscolonyhttp://simscolony.com
ซิมส์โคโลนี

Latest